• SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกในปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นเป็น 2.7% (เดิม 2.4%)  พร้อมปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 เป็น 2.6% (เดิม 3.1%)  และคาดการณ์ ในปี 2567 ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจลงเช่นกันเป็น 3.0% (เดิม 3.5%) ตามแรงส่งเศรษฐกิจที่แผ่วลง แนวโน้มการบริโภคภาคเอกชนเติบโตต่ำลง @@@@ กกร.คาดเศรษฐกิจไทยปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 2.8-3.3% มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะโตได้น้อยกว่า 3% ซึ่งเป็นระดับศักยภาพเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน โดยเผชิญทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และปัจจัยความเปราะบางในประเทศ เช่น หนี้ครัวเรือน หนี้ของภาคธุรกิจ
Home 'กลุ่มคาราบาว'บุกสมรภูมิเบียร์ 2.6 แสนล.เปิด 2 แบรนด์'คาราบาว'และ'ตะวันแดง'
'กลุ่มคาราบาว'บุกสมรภูมิเบียร์ 2.6 แสนล.เปิด 2 แบรนด์'คาราบาว'และ'ตะวันแดง'

'กลุ่มคาราบาว'บุกสมรภูมิเบียร์ 2.6 แสนล.เปิด 2 แบรนด์'คาราบาว'และ'ตะวันแดง'

5 รสชาติพร้อมกันครั้งแรกของประเทศไทย ด้วยมาตรฐานโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง ประกาศ “เซ็ทมาตรฐานใหม่” ตลาดเบียร์ ให้คนไทยได้สัมผัสประสบการณ์ระดับโลก

 

• เสนอเบียร์มาตรฐานโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง มาพร้อมความหลากหลายด้วย “เบียร์ 5 รสชาติ” ประกาศเดินหน้า “เซ็ทมาตรฐานใหม่” ตลาดเบียร์ของประเทศไทย

 

• ตอกย้ำ “สินค้าระดับโลก แบรนด์ระดับโลก” ซูเบียร์หัวจักรใหม่ บุกตลาดต่างประเทศ ขับเคลื่อนธุรกิจในเครือไปสู่ธุรกิจระดับโลก วางโครงข่ายการกระจายสินค้าแบบใหม่ครั้งแรกของไทย เจาะตรงถึงผู้แทนจําหน่ายรายย่อย ให้สินค้าถึงมือผู้บริโภครวดเร็วขึ้น คงคุณภาพ รสชาติและความสดใหม่

 

• ลงทุนยิ่งใหญ่ 4,000 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตเบียร์ที่ชัยนาท พร้อมสรรพด้วยเทคโนโลยี การผลิตมาตรฐานโลกจากเครื่องจักรนําเข้าทั้งหมด นําร่องผลิตที่ 200 ล้านลิตรในปีแรก

 

• ต่อยอด Sport Marketing ส่งแคมเปญ “สัมผัสประสบการณ์ระดับโลก เชียร์บอล เชียร์บาว” ลุ้นตั๋วชม Carabao Cup ฤดูกาล 2023/24 รอบชิงชนะเลิศ ติดขอบสนาม

 

 

นายเสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “กลุ่มคาราบาว” เปิดเผยว่า บริษัทได้ทุ่มทุก สรรพกําลังครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี เปิดตัวเบียร์ 2 แบรนด์ คือ “คาราบาว” และ “ตะวันแดง” พร้อมบุกตลาดเบียร์ มูลค่า 2.6 แสนล้านบาท ซึ่งถือเป็นตลาดเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยเงินลงทุนถึง 4,000 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตเบียร์ที่จังหวัดชัยนาท ด้วยเทคโนโลยีการผลิตมาตรฐานโลกจากเครื่องจักรที่นําเข้าจาก ต่างประเทศทั้งหมด โดยมีกําลังการผลิตประมาณ 400 ล้านลิตร ช่วงแรกนําร่องการผลิตที่ 200 ล้านลิตร ซึ่งถือ ว่าเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุด พร้อมปูพรมการตลาดแบบครบวงจร เพื่อให้แบรนด์เข้าไปนั่งในใจผู้บริโภคทั่ว ประเทศให้เร็วที่สุด ในด้านตําแหน่งทางการตลาด ทั้ง 2 แบรนด์จะลงเล่นในเซ็กเมนต์อีโคโนมี และสแตนดาร์ด ซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ของตลาดเบียร์มากกว่า 90% โดย “คาราบาว” วางในเซ็กเมนต์อีโคโนมีถึงสแตนดาร์ด ส่วน “ตะวันแดง” วางในเซ็กเมนต์สแตนดาร์ดถึงพรีเมี่ยม เพื่อสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคครอบคลุมในทุกกลุ่ม โดย ตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้เล่นหลัก 1 ใน 3 ของตลาดเบียร์

 

กลยุทธ์หลักในการรุกตลาด มุ่งนําเสนอเบียร์คุณภาพระดับโลก ในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ เพื่อนําเสนอ ทางเลือกใหม่ให้กับตลาด โดยนําประสบการณ์ จากการดําเนินธุรกิจโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง ไมโครบริวเวอรี่ (Microbrewery) อันดับหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งได้สร้างชื่อเสียงจากรสชาติเบียร์แบบต้นตํารับเยอรมัน เป็น เอกลักษณ์ โดดเด่น ได้รับการยอมรับจากลูกค้ามากกว่า 10 ล้านคนตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี มาให้ผู้บริโภค ทั่วประเทศได้ลิ้มลอง โดยเบียร์ทั้ง 2 แบรนด์จะมีกลิ่นและรสชาติเหมือนหรือใกล้เคียงกับเบียร์ที่ขายที่โรงเบียร์ เยอรมันตะวันแดง ภายใต้มาตรฐาน German Beer Purity Law กฎการทําเบียร์เยอรมันที่มีวัตถุดิบจาก มอลต์ ฮอปส์ และยีสต์ เท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ในตลาด และถือเป็นการ “เช็ตมาตรฐานใหม่ ให้กับตลาดเบียร์ของไทยนับจากนี้

 

 

“ด้วยตลาดมีเพียงแบรนด์ยักษ์ใหญ่ไม่กี่แบรนด์ ทําให้ผู้บริโภคไม่มีทางเลือกมากนัก ในขณะที่มี ผู้บริโภคจํานวนมากที่ต้องการดื่มเบียร์คุณภาพระดับโลก แต่เบียร์เหล่านี้มักเป็นเบียร์นําเข้าที่มีราคาค่อนข้างสูง ทําให้โอกาสเข้าถึงมีน้อย จึงถือเป็นช่องว่างทางการตลาดที่ยังไม่มีใครกล้าเข้ามาเล่น สิ่งนี้ถือเป็นโอกาสของ กลุ่มคาราบาว ในการนําเสนอทางเลือกใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ และจะทําให้ก้าวสู่การ เป็นผู้เล่นหลัก 1 ใน 3 ของตลาดเบียร์ อีกทั้งยังเป็นความตั้งใจของเราที่ต้องการยกระดับการดื่มเบียร์ของคน ไทย ด้วยการทําเบียร์คุณภาพสไตล์เยอรมันแท้ให้คนไทยได้ดื่ม ไม่ว่าจะเป็นรสชาติ คุณภาพรวมไปจนถึง กระบวนการผลิตที่ได้รับมาตรฐานระดับโลก เพื่อปฏิรูปวงการเบียร์ของประเทศไทย” นายเสถียร กล่าว

 

โดยความพิเศษในการเข้าสู่ตลาดในครั้งนี้ “กลุ่มคาราบาว” ยังเลือกเปิดตัวสินค้าพร้อมกัน 5 รสชาติ ประกอบด้วย แบรนด์คาราบาว 2 รสชาติ ได้แก่ Lager Beer (เบียร์ลาเกอร์) และ Dunkel Beer (เบียร์ดังเกล) ขณะที่แบรนด์ตะวันแดง เปิดตัว 3 รสชาติ ประกอบด้วย Weizen Beer (เบียร์ไวเซ่น) Rose Beer (เบียร์โรเซ่) และ IPA Beer (เบียร์ไอพีเอ) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของวงการเบียร์ในประเทศไทย เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับคนไทย สามารถเข้าถึงเบียร์มาตรฐานระดับโลก ทั้งยังแสดงให้เห็นศักยภาพในการผลิตของโรงงานผลิตเบียร์ระดับโลก ของเรา ณ จังหวัดชัยนาท ที่พร้อมด้วยเครื่องจักรที่นําเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด เพื่อตอกย้ำความเป็น สินค้า ระดับโลก แบรนด์ระดับโลก (World Class Product, World Class Brand) และด้วยศักยภาพการผลิตนี้เอง ทําให้เราสามารถผลิตเบียร์ได้หลากหลายประเภท

 

อย่างไรก็ตาม จากการมีผู้เล่นหลักในตลาดเบียร์ ซึ่งครองส่วนแบ่งกว่า 80% ถือเป็นความท้าทายของ กลุ่มคาราบาว โดยกลยุทธ์หลักในช่วงแรกจะมุ่งเอ็ดดูเคทตลาดถึงมาตรฐานใหม่ของเบียร์ขั้วที่ 3 พร้อมทําให้ ผู้บริโภคเข้าใจและเปิดใจว่าเบียร์ที่ได้รับมาตรฐานระดับโลก และเบียร์ที่คนนิยมดื่มกันในระดับสากลนั้นเป็น อย่างไร ทั้งเรื่องรสชาติ ความเข้มข้นที่แตกต่างจากเบียร์เดิมที่อยู่ในตลาด โดยทุ่มงบการตลาดมากที่สุดในรอบ 20 ปีนับตั้งแต่เปิดตัวเครื่องดื่มชูกําลัง “คาราบาวแดง” เตรียมกิจกรรมการตลาดอย่างครบเครื่องในทุกช่องทาง หนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่สําคัญคือ การตัดสินใจต่อสัญญาเป็นผู้สนับสนุนหลักการแข่งขันฟุตบอล Carabao Cup ต่อไปอีก 3 ปี กับ English Football League (EFL) จากเดิมที่จะสิ้นสุดในปี 2024 ซึ่งจะทําให้ คาราบาวเป็นสปอนเซอร์หลักฟุตบอล Carabao Cup ไปจนถึงปี 2027 ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ของ EFL และเพื่อเป็นการสานต่อกลยุทธ์ Sport Marketing ระดับโลก จึงเปิดตัวแคมเปญใหญ่ เครื่องดื่ม คาราบาวพาทุกคนไป “สัมผัสประสบการณ์ระดับโลก เชียร์บอล เซียร์บาว” กับการชมฟุตบอลระดับโลก ติดขอบสนาม ร่วมลุ้นเป็นผู้โชคดีบินลัดฟ้าสู่ประเทศอังกฤษ ชมศึก Carabao Cup ฤดูกาล 2023/24 รอบชิงชนะเลิศ ซึ่งมั่นใจว่าจะเข้ามาสร้างกระแสและดึงให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมกับแบรนด์ พร้อมตอกย้ําความเป็นสินค้า ระดับโลก แบรนด์ระดับโลก ให้เด่นชัดมากยิ่งขึ้น

 

นอกจากกิจกรรมการตลาดเต็มรูปแบบแล้ว อีกกลยุทธ์สําคัญคือ “ช่องทางการกระจายสินค้า” โดย เบียร์ทั้ง 5 รสชาติ จะปูพรมจําหน่ายในร้านค้าในเครือข่ายของกลุ่มคาราบาว ได้แก่ ซีเจ มอร์ ที่มีถึง 1,000 สาขาทั่วประเทศ, ร้านถูกดี มีมาตรฐาน ที่มีร้านค้าอยู่มากกว่า 5,000 ร้านทั่วประเทศ และหน่วยรถในศูนย์ กระจายสินค้าทั้ง 31 แห่ง ที่สามารถเข้าถึงร้านค้าปลีกทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางของโมเดิร์นเทรด และเทรดดิ ชันนอลเทรด ซึ่งบริษัทให้ความสําคัญ ทั้งนี้ ในโอกาสในการเปิดตัวเบียร์ทั้ง 2 แบรนด์ บริษัทได้จัดทัพปรับ โครงสร้างการกระจายสินค้าในเครือใหม่ทั้งหมด ด้วยการกระจายสินค้าสู่ “ตัวแทนจําหน่ายระดับอําเภอทั่ว ประเทศ” โดยตรง เพื่อลดขั้นตอนการกระจายสินค้า ทําให้สินค้าสามารถเจาะเข้าถึงร้านค้าย่อยหรือโชห่วยทั่ว ประเทศได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพ และรสชาติที่ดี

 

นายเสถียร กล่าวเพิ่มเติมว่า อีกจุดแข็งสําคัญที่ทําให้บริษัทมั่นใจว่า เบียร์ทั้ง 2 แบรนด์จะได้รับการ ตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี คือความแข็งแกร่งของแบรนด์ โดยเฉพาะ “คาราบาว” ซึ่งได้รับการยอมรับไม่ เพียงประเทศไทยแต่ในระดับโลก ปัจจุบันมีการส่งออกสินค้าไปยัง 42 ประเทศ ครอบคลุมทุกทวีป รวมทั้งเป็น ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของการแข่งขันฟุตบอล EFL ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น “คาราบาว คัพ” มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2017 ซึ่งทําให้แบรนด์ไทยเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ขณะที่ "ตะวันแดง" ก็ได้รับการยอมรับในฐานะโรงเบียร์ ไมโครบริวเวอรี่ ที่สมบูรณ์แบบที่สุดแห่งแรกในประเทศไทย ที่ยืนอยู่ได้มาเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี ซึ่งกลุ่ม คาราบาวตั้งเป้าว่าจะส่งออกสินค้าเบียร์ไปยังตลาดต่างประเทศด้วย โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศ อังกฤษและประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีร้านอาหารไทยจํานวนมากอันดับต้นๆ ของโลก

 

ปัจจุบันตลาดเบียร์ในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว การเข้ามาในตลาดของกลุ่มคาราบาวในครั้งนี้ เชื่อว่าจะทําให้เห็น Movement ของตลาดที่เปลี่ยนไป จากมาตรฐานใหม่ของเบียร์ที่บริษัทกําลังจะสร้างขึ้น และมาพร้อมตัวเลือกที่หลากหลาย และจากมูลค่ารวม ของตลาดแอลกอฮอล์ รวมกว่า 5 แสนล้านบาทนั้น บริษัทตั้งเป้าว่า “เบียร์” จะเป็นหัวรถจักรที่สําคัญ ที่จะพา สินค้ากลุ่มแอลกอฮอล์ให้เติบโตไปด้วย พร้อมเป็นแกนนําาให้ธุรกิจอื่น ๆ ในเครือคาราบาวเติบโตมากขึ้นไปอีก

 

“เบียร์เป็นสิ่งที่เรามั่นใจในองค์ความรู้ ความเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สั่งสมประสบการณ์และเก็บข้อมูลมา นานกว่า 20 ปี จากการทําโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง ผมเชื่อว่าเบียร์ของเราจะสามารถสร้างปรากฏการณ์ ให้กับตลาด และเข้าไปนั่งในใจผู้บริโภคชาวไทยทุกคนได้" นายเสถียร กล่าวทิ้งท้าย