• ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผย ปี 2565 บริษัทจดทะเบียน หรือ บจ. จำนวน 798 บริษัท คิดเป็น 98.6% จากทั้งหมด 809 บริษัท (รวม SET และ mai และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน บจ. ในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC) นำส่งผลการดำเนินงานงวดปี 2565 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2565 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 619 บริษัท คิดเป็น 77.6% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด *** ส่วนบริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 196 บริษัท คิดเป็น 96% จากทั้งหมด 204 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงาน โดยปี 2565 พบ บจ. ที่รายงานกำไรสุทธิจำนวน 144 บริษัท คิดเป็น 73% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
Home 'คิงส์เมน' ลุยรับงาน Interiors เล็งปั้นรายได้ ปี 66 แตะ 850 ล.
'คิงส์เมน' ลุยรับงาน Interiors เล็งปั้นรายได้ ปี 66 แตะ 850 ล.

'คิงส์เมน' ลุยรับงาน Interiors เล็งปั้นรายได้ ปี 66 แตะ 850 ล.

กรุงเทพฯ - บมจ.คิงส์เมน ซี.เอ็ม.ที.ไอ. “K” ปรับกลยุทธ์ปี 2566 ลุยรับงาน Interiors ที่เชี่ยวชาญ หมุนรอบเร็ว มาร์จิ้นสูง ควบคู่กับงาน Exhibition ประเภท Pop-Up Store ในกลุ่มแบรนด์ลักซ์ชัวรี่รายใหญ่ มั่นใจดันรายได้ทั้งปีแตะ 850 ล้านบาท

นายวงศกร พิเศษสิทธิ์ ผู้อำนวยการอาวุโสและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท คิงส์เมน ซี.เอ็ม.ที.ไอ “K” เปิดเผยถึงกลยุทธ์ทางธุรกิจในปี2566ว่า ภายหลังการเศรษฐกิจได้กลับมาฟื้นตัวในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้งานแสดงสินค้าและนิทรรศการ (Exhibitions) และธุรกิจงานตกแต่งภายใน (Interiors) กลับมาคึกคักอีกครั้ง ดังนั้นบริษัทฯจึงปรับกลยุทธ์โครงสร้างทางธุรกิจ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องของกลุ่มลูกค้า และให้สอดรับกับนโยบายของบริษัทฯในการมุ่งเน้นงานที่หมุนรอบของกระแสเงินสดเร็ว และมีมาร์จิ้นดี จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้บริษัทฯมีการปรับการรับงานในส่วน Interiors ให้ขนาดลดลง โดยหันมาเน้นรับงานระยะสั้น - ระยะกลางมากขึ้น รวมถึงเน้นจับกลุ่มลูกค้าที่เป็นระดับลักซ์ชัวรี่ (Luxury) อาทิ งานประเภท Pop-Up Store ในกลุ่มแบรนด์ลักซ์ชัวรี่รายใหญ่ (งานออกร้านต่างๆ ที่จะจัดในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นพื้นที่ให้แบรนด์นำเสนอความโดดเด่นในแบบของตัวเอง) ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯได้หันมาให้บริการกลุ่มลูกค้าดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมองว่างานประเภทดังกล่าว อยู่ในกรอบระยะเวลาในการการดำเนินงานไม่นานเกินไป ซึ่งส่งผลเชิงบวกให้ “K” สามารถหมุนรอบของกระแสเงินสดที่ไว และมีมาร์จิ้นที่ดี

และภายในช่วงเดือนมีนาคมนี้ “K”จะมีงานโปรเจกต์ Motor Show ในส่วนการจัดบูธพิเศษ โดยเบื้องต้นได้วางเป้าหมายจะมีรายได้จากงานดังกล่าว ประมาณ 100 ล้านบาท และบริษัทฯคาดว่ามีงานโปรเจกต์ใหม่ๆเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อรับงานอีกกว่า 10 ราย และคาดว่าจะสามารถสรุปดีลใหม่ได้ในเร็วๆนี้

ทั้งนี้ จากแผนเดินเกมรุกจากการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทฯเชื่อมั่นว่า ในปี 2566 “K” จะกลับมาเทิร์นอะราวด์ ได้อีกครั้ง พร้อมตั้งเป้าหมายรายได้รวม แตะระดับ 850 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ มาจาก 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ กลุ่มงาน Interiors ประมาณ 15-20% ของรายได้รวม ส่วนที่เหลือจะมาจากกลุ่มงาน Exhibition (เอ็กซิบิชั่น) และงาน Event (อีเว้นท์) โดยล่าสุด บริษัทฯ มีงานในมือ (Backlog) รวมมูลค่า 400 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้ในปี 2566 เกือบทั้งหมด


นอกจากนี้ นายวงศกร ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “K” จะจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ในวันที่ 21 เมษายน 2566 เวลา14.00 น. ผ่านการประชุมผู้ถือหุ้นผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM) โดยมีวาระหลักๆคือ การขออนุมัติยกเลิกการออกและเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพที่ออกใหม่ของบริษัท (“หุ้นกู้แปลงสภาพ”) มูลค่าการออกเสนอขายรวมไม่เกิน 300 ล้านบาท ที่จะเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนโดยเฉพาะเจาะจง ได้แก่ Advance Opportunities Fund (“AO Fund”) และ Advance Opportunities Fund 1 (“AO Fund 1”) เนื่องจากมองว่า การเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพดังกล่าว มีมูลค่าสูงและระยะเวลาค่อนข้างนาน ดังนั้นบริษัทฯจึงมีมติอนุมัติเห็นควรให้ยกเลิกการออกและเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพที่ออกใหม่ดังกล่าว เพื่อรักษาผลประโยชน์ของบริษัทฯ และต่อผู้ถือหุ้นในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีวาระขออนุมัติการลดทุน การเพิ่มทุน การออกใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งที่ 2 (K-W2) จำนวนไม่เกิน 79,922,412 หน่วยให้ผู้ถือหุ้นเดิม โดยไม่คิดมูลค่าการเสนอขาย ในอัตรา 6 หุ้นสามัญต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ โดย“K-W2” จะมีอายุ 1 ปี นับแต่วันที่ออกและเสนอขาย สามารถใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญในทุกๆ 3 เดือน และมีราคาใช้สิทธิเท่ากับ 0.80 บาทต่อหุ้น และวาระการขออนุมัติโอนส่วนเกินมูลค่าหุ้น เพื่อล้างขาดทุนสะสมของบริษัทฯ