• SCB EIC คาด กนง. จะเริ่มลดดอกเบี้ยในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นจังหวะเวลาที่ภาวะการเงินตึงตัวจะเริ่มส่งผลกดดันเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะที่ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจส่วนใหญ่ยังคงเปราะบาง ประกอบกับความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าจะเริ่มปรับสูงขึ้น *** จึงประเมินว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้งปลายปีนี้เหลือ 2.25% และปรับลดอีกครั้งเหลือ 2% ในช่วงต้นปีหน้า (2025)
Home ซีพี-เมจิ ชูแนวคิด “เพิ่มคุณค่าชีวิต” ต่อยอดความยั่งยืนหนุนเกษตรกรต้นน้ำ
ซีพี-เมจิ ชูแนวคิด “เพิ่มคุณค่าชีวิต” ต่อยอดความยั่งยืนหนุนเกษตรกรต้นน้ำ

ซีพี-เมจิ ชูแนวคิด “เพิ่มคุณค่าชีวิต” ต่อยอดความยั่งยืนหนุนเกษตรกรต้นน้ำ

ซีพี-เมจิ ผู้นำอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นมและโยเกิร์ต มั่นใจปีนี้เติบโต 10% ครองผู้นำอันดับ 1 กลุ่มนมพร้อมดื่มพาสเจอร์ไรส์ ปี 67 คาดยอดขาย 12,000 ล. ชูกลยุทธ์ความยั่งยืน 3 ด้าน สุขภาพ-สังคม-สิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “เพิ่มคุณค่าชีวิต (Enriching Life)” พร้อมขยายตลาดสินค้าคุณภาพไปทั่วภูมิภาค เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้เติบโตไปด้วยกัน

นางสาวสลิลรัตน์ พงษ์พานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด เปิดเผยว่า ซีพี-เมจิ ทำตลาดใน 8 ประเทศ กลุ่ม CLMV ลาว เวียดนาม พม่า มาเลเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ และ มีสัดส่วนยอดขายในต่างประเทศ 28% เติบโตในทุกๆ ประเทศ ด้วยแบรนด์ มาตรฐานการผลิต และคุณภาพของสินค้ามาตรฐานญี่ปุ่น ขณะะที่ด้านการตลาดการขายมีเครือข่ายที่แข็งแกร่งสามารถทำยอดขายรวมปีที่ผ่านมาทะลุเป้า 10,000 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะสามารถปิดยอดได้ที่ 11,000 ล้านบาท เติบโต 10% ปีนี้ถือเป็นปีที่ดีและเชื่อว่าการเติบโตเพิ่มขึ้น ปี 2567 คาดว่ายอดขาย 12,000 ล้านบาท

"นมเป็นสินค้าเพื่อสุขภาพ จะเห็นได้จากช่วงโควิด ที่่ผ่านมาสามารถทำยอดขายเติบโตทั้งในประะเทศและต่างประเทศ โดยปีที่ผ่านมาเติบโตถึง 12% ซีพี-เมจิ ในประเทศไทยมียอดขายนมพาสเจอร์ไรส์ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 สัดส่วน 55% ฮ่องกง เมื่อปีที่ผ่านมาครองส่วนบ่งตลาดอันเดับ 1 สัดส่วน 50% สิงคโปร์ ครองส่วนแบ่งตลาด 24%"

 


นางสาวสลิลรัตน์ กล่าวว่า ซีพี-เมจิ มีการพัฒนาต่อยอดสินค้ามาอย่างต่อเนื่อง ขยายพอร์ตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (High-value) ก่อนจะมี โยเกิร์ตบัลแกเลีย ส่วนแบ่งตลาดกลุ่มโยเกิร์ตอยู่ที่ 7% ปัจจุบันอยู่ที่ 22% วางเป้าภายใน 3 ปี ส่วนแบ่งการตลาดแตะ 30% ด้วยการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ

บริษัทตระหนักเสมอถึงความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืน โดยใช้แนวคิดการเพิ่มคุณค่าชีวิต 3 ด้าน เริ่มด้วย ด้านสุขภาพ ที่บริษัทฯ จะผลิตเฉพาะผลิตภัณฑ์นมคุณภาพที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน มุ่งเน้นการสร้างสรรค์นวัตกรรมเครื่องดื่มที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค ตอบโจทย์ทั้งไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น การเพิ่มรสชาติใหม่ๆ ที่มีฟังก์ชั่นในการดูแลร่างกายของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม โดยจะขยายพอร์ตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (High-value) และส่วนแบ่งการตลาดกลุ่มโยเกิร์ตให้เพิ่มขึ้น รวมถึงความตั้งใจขยายตลาดนมซีพี-เมจิ ออกไปให้ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มช่องทางการขายน้ำนมแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมของไทยให้มากขึ้น

 


ถัดมา ด้านสังคม ที่ ซีพี-เมจิมุ่งเน้นการดูแลและสนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม โดยถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเลี้ยงโคและการจัดการฟาร์มอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรต้นน้ำ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการผลิตสินค้าให้เติบโตเคียงข้างไปด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน ไม่เพียงเท่านั้นบริษัทฯ ยังให้การดูแลชุมชนในจังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่โรงงานอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

สุดท้าย ด้านสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจควบคู่กับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด อาทิ การผลิตไฟฟ้าใช้ในโรงงานจากหลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบการกำจัดน้ำเสียและนำกลับมาใช้ โดยจะเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกในกระบวนการผลิตให้มากขึ้น เพื่อมุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net-Zero) ตลอดจนเพิ่มพื้นที่สีเขียวและความหลากหลายทางชีวภาพให้กับโลกอย่างต่อเนื่อง

 


“โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบอย่างมากมายดังที่ทุกคนทราบกันดี ในฐานะที่ซีพี-เมจิ เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ เราจึงเดินหน้าคู่ขนานไปกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายในการดูแลรักษาโลกทั้งในระยะสั้นและระยะยาว” นางสาวสลิลรัตน์ กล่าว

กลยุทธ์ความยั่งยืนทั้ง 3 ด้านจะนำไปสู่ความยั่งยืนทางธุรกิจของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี เมื่อผนวกกับสองปัจจัยบวก ทั้งการท่องเที่ยวและตลาดในประเทศฟื้นตัว ซีพี-เมจิ เชื่อมั่นว่า ในปีนี้ผลประกอบการจะเป็นไปตามเป้าหมาย หรือเติบโตราว 10% และยังคงครองการเป็นผู้นำอันดับ 1 ในกลุ่มนมพร้อมดื่มพาสเจอร์ไรส์ของประเทศไทยได้เช่นเดิม