• SCB EIC เผยมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยเดือน ส.ค. 2024 ขยายตัวดีต่อเนื่องที่ 7% ทำให้ประเมินมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยจะสามารถขยายตัวของมูลค่าการส่งออกไทยที่ 2.6% และ 2.8% ในปี 2024 และ 2025 ยังถือว่าไม่สูงนักเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2010-2019 ที่ 5.3% --- ปัจจัยการส่งออกของไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ในระยะถัดไปจากเศรษฐกิจโลกที่ยังขยายตัวได้ในภาพรวม แม้จะชะลอตัวลงบ้างในหลายประเทศ รวมถึงวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น และแรงกดดันด้านค่าระวางเรือที่เริ่มลดลง ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกในปี 2024 อาจขยายตัวได้มากกว่าประมาณการเดิมที่ 2.6% แต่ต้องจับตาผลกระทบเพิ่มเติมจากปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของไทย การแข็งค่าของเงินบาท และการยกเลิกมาตรการควบคุมการส่งออกข้าวของอินเดีย
Home บอร์ด PPP เปิดเอกชนร่วมลงทุน PPP Net Cost มูลค่า 14,498 ล.
บอร์ด PPP เปิดเอกชนร่วมลงทุน PPP Net Cost มูลค่า 14,498 ล.

บอร์ด PPP เปิดเอกชนร่วมลงทุน PPP Net Cost มูลค่า 14,498 ล.

คณะกรรมการ PPP เห็นชอบโครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้นการให้บริการผู้โดยสารภาคพื้นและกิจการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มูลค่าโครงการกว่า 14,500 ล้านบาท สนับสนุนเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาค

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (คณะกรรมการ PPP) ครั้งที่ 3/2567 เมื่อวันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2567 โดยสรุปผลการประชุมได้ ดังนี้ คณะกรรมการ PPP ได้เห็นชอบหลักการโครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้นและกิจการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (ทอท.) โดยเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการในรูปแบบ PPP Net Cost มูลค่าโครงการรวม 14,498 ล้านบาท

 

 

ซึ่งเอกชนจะรับผิดชอบการจัดหาเงินทุน การออกแบบและก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง พร้อมทั้งจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับการให้บริการ ตลอดจนรับผิดชอบในการดูแลบำรุงรักษา และบูรณะสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงการบริหารจัดการโครงการ ขณะที่ ทอท. จะกำกับดูแลและติดตามตรวจสอบคุณภาพการดำเนินงานของภาคเอกชน และได้รับค่าผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายปี ทั้งนี้ โครงการมีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 หมุดหมายที่ 5 ที่มุ่งให้ไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค โดยโครงการจะช่วยรองรับการเติบโตของปริมาณจราจรทางอากาศในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสามารถสนับสนุนเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาค ตลอดจนสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ

นอกจากนี้ คณะกรรมการ PPP ยังได้เห็นชอบการปรับปรุงแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุน พ.ศ. 2563-2570 (แผนร่วมลงทุนฯ) เพื่อให้สอดคล้องกับความพร้อมของแต่ละโครงการและเป็นปัจจุบัน โดยมีรายการโครงการที่ประสงค์จะดำเนินการในรูปแบบ PPP รวม 138 โครงการ มูลค่ารวม 9.18 แสนล้านบาท ซึ่งมูลค่ารวมมีการปรับลดลงจากแผนร่วมลงทุนฯ ฉบับก่อนหน้า เนื่องจากมีโครงการร่วมลงทุนที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ และลงนามในสัญญาร่วมลงทุนแล้ว เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) และโครงการพัฒนาและบริหารจัดการศูนย์บริการทางหลวงศรีราชา บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข ๗ สายกรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง ทั้งนี้ แผนร่วมลงทุนฯ ข้างต้น จะเป็นกรอบทิศทางการจัดทำโครงการ PPP ของประเทศที่ชัดเจน และจะช่วยสร้างความสนใจและดึงดูดให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการของรัฐมากขึ้น อีกทั้งคณะกรรมการ PPP ยังได้เร่งรัดโครงการร่วมลงทุนต่างๆ ให้สามารถเปิดให้บริการได้ตามแผนงาน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณะได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น