ผลการดำเนินงานของปี 2563 ปตท. และบริษัทย่อยมี EBITDA จำนวน 225,672 ล้านบาท กำไรสุทธิจำนวน 37,766 ล้านบาท เปิดแผน 5 ปี 64-68 ลงทุนกว่า 850,573 ล้านบาท
วันนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2564) - นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) แถลงผลการดำเนินงาน ปตท. ในไตรมาส 4 ปี 2563 เริ่มฟื้นตัว โดย ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) จำนวน 71,614 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,149 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.1 และกำไรสุทธิในไตรมาส 4 ปี 2563 จำนวน 13,147 ล้านบาท ลดลง 973 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.9 จากไตรมาสก่อนหน้า
ปี 63 ผลกำไร 37,766 ล้านบาท - ปันผลหุ้นละ 1.00 บาท
สำหรับผลการดำเนินงานของปี 2563 ปตท. และบริษัทย่อยมี EBITDA จำนวน 225,672 ล้านบาท ลดลง 63,300 ล้านบาท หรือร้อยละ 21.9 มีกำไรสุทธิจำนวน 37,766 ล้านบาท ลดลง 55,185 ล้านบาท หรือร้อยละ 59.4 จากปี 2562 ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีจากผลการบริหารจัดการตลอดปีที่ผ่านมา แม้ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจและธุรกิจพลังงานโลกที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ เนื่องจากผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยล่าสุด คณะกรรมการ ปตท. ในการประชุม เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบให้จ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2563 ในอัตราหุ้นละ 1.00 บาท แบ่งเป็นเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการ 6 เดือนแรกในอัตราหุ้นละ 0.18 บาท และ 6 เดือนหลัง อีก 0.82 บาท
ทั้งนี้ กลุ่ม ปตท. นำส่งรายได้ให้รัฐ ทั้งในรูปเงินปันผลและภาษีเงินได้ในปี 2563 จำนวน 36,535 ล้านบาท หากรวมนับตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปัจจุบัน รวมจำนวนประมาณ 9.9 แสนล้านบาท
เปิดแผน 5 ปี (2564-2568) ลงทุน 850,573 ล้านบาท
การดำเนินธุรกิจในช่วง 5 ปีข้างหน้า (ปี 2564-2568) กลุ่ม ปตท. เตรียมแผนลงทุนในวงเงินรวม 850,573 ล้านบาท (ไม่รวมโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการลงทุนหรือแสวงหาโอกาสในการลงทุน) และจัดเตรียมงบลงทุนในอนาคต (Provisional Capital Expenditure) ในระยะ 5 ปีข้างหน้า จำนวน 804,202 ล้านบาท เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลง สร้างความเข้มแข็งและความสามารถในการแข่งขัน พัฒนาเศรษฐกิจไทย ทั้งในธุรกิจหลักของกลุ่มโรงกลั่น ก๊าซธรรมชาติ และปิโตรเคมี มุ่งแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆด้วยการรุกธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต รวมถึงเชื่อมต่อคุณค่าจากแหล่งผลิตปิโตรเลียมสู่ประชาชน ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงาน เพื่อให้เกิดระบบนิเวศธุรกิจ (Ecosystem) ตั้งแต่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และก๊าซธรรมชาติ สู่ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า จนถึงธุรกิจแบตเตอรี่และการกักเก็บพลังงาน (Battery & Energy Storage) และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) พร้อมเดินหน้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับ ได้แก่ โครงการ LNG Terminal 2 (หนองแฟบ) โครงการโรงแยกก๊าซฯหน่วยที่ 7 โครงการท่อก๊าซฯบนบกเส้นที่ 5 รวมถึงการเดินหน้าลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ผ่าน บริษัท โกลบอล รีนิวเอเบิล เพาเวอร์ จำกัด (GRP) โดยมีเป้าหมายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน 4.3 GW ภายในปี 2568
นอกเหนือจากนวัตกรรมด้านพลังงาน กลุ่ม ปตท. ยังเตรียมพร้อมก้าวสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยในอนาคต เช่น การจัดตั้งบริษัท AI and Robotics Venture (ARV) ของ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) รวมถึงการจัดตั้งบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจ Life Science ใน 4 กลุ่มธุรกิจที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง ได้แก่ 1. ธุรกิจยา 2. ธุรกิจอาหารและโภชนาการ 3. ธุรกิจอุปกรณ์และวัสดุทางการแพทย์ 4. ธุรกิจเทคโนโลยีทางการแพทย์ เพื่อให้เป็น New S-Curve ของกลุ่ม ปตท. และประเทศไทย ทั้งยังส่งเสริมสาธารณสุขคนไทยให้มั่นคง
ในด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม กลุ่ม ปตท. ได้ร่วมกันยกระดับการพัฒนาธุรกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำควบคู่กับการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านการกำหนดค่าเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกลุ่ม ปตท. ร้อยละ 27 เทียบกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานตามปกติ ปี 2573 รวมถึงการสานต่อโครงการเพื่อสังคมต่างๆ โดยจะมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าร่วม เสริมสร้างความเข้มแข็งทางสังคม โดยดำเนินโครงการ Restart Thailand สนับสนุนการสร้างงาน สร้างรายได้ และทักษะอาชีพ ด้วยการจ้างแรงงาน พนักงาน และนักศึกษาระดับ ปวช.- ปริญญาตรีในทุกภูมิภาค กว่า 25,000 อัตรา ซึ่งในส่วนของ ปตท. ได้มีการฝึกอบรมนักศึกษาจบใหม่ เพื่อให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม และพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ในโครงการ SMART Farming สนับสนุนชุมชนพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและการใช้เทคโนโลยีในกระบวนการผลิตสินค้าเกษตรสู่วิถีใหม่ และ SMART Marketing เพื่อยกระดับสินค้าชุมชนและส่งเสริมการใช้ช่องทางการตลาดออนไลน์และ E-commerce เป็นต้น