• ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผย ปี 2565 บริษัทจดทะเบียน หรือ บจ. จำนวน 798 บริษัท คิดเป็น 98.6% จากทั้งหมด 809 บริษัท (รวม SET และ mai และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน บจ. ในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC) นำส่งผลการดำเนินงานงวดปี 2565 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2565 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 619 บริษัท คิดเป็น 77.6% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด *** ส่วนบริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 196 บริษัท คิดเป็น 96% จากทั้งหมด 204 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงาน โดยปี 2565 พบ บจ. ที่รายงานกำไรสุทธิจำนวน 144 บริษัท คิดเป็น 73% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
Home วีซ่า เผยเก้าในสิบของคนไทยสนใจใช้ Virtual Bank
วีซ่า เผยเก้าในสิบของคนไทยสนใจใช้ Virtual Bank

วีซ่า เผยเก้าในสิบของคนไทยสนใจใช้ Virtual Bank

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย, วันที่ 14 มีนาคม 2566 - วีซ่า ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก เผยข้อมูลที่น่าสนใจจากการศึกษาเรื่องทัศนคติการชำระเงินของผู้บริโภคประจำปีของวีซ่า (Visa Consumer Payment Attitudes Study) โดยผู้บริโภคชาวไทยส่วนใหญ่มากถึงเก้าในสิบ โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Y, Gen X และประชาชนทั่วไปมากถึง 90% ให้ความสนใจในธนาคารเสมือนจริง หรือเวอร์ชวลแบงก์ (Virtual Bank)
 
การศึกษาของวีซ่า ซึ่งจัดทำขึ้นเป็นประจำปีทุกปีเพื่อให้เข้าใจถึงพฤติกรรมการใช้จ่าย และทัศนคติของผู้บริโภคชาวไทยให้ดียิ่งขึ้น ยังเผยให้เห็นว่ามากกว่าสี่ในห้าของผู้ตอบแบบสอบถาม (85%) มีความพยายามที่จะใช้จ่ายแบบไม่พึ่งเงินสด โดยมากกว่าหนึ่งในสาม (36%) ปรับไปใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่พึ่งเงินสดได้นานกว่าหนึ่งสัปดาห์
 
ซีรีน เกย์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “การชำระเงินแบบดิจิทัลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคในประเทศไทยมากขึ้น อย่างไรก็ตามเรายังเห็นโอกาสอีกมากในการทำให้การจ่ายและรับชำระเงินแบบดิจิทัลเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าถึงได้ ตลอดจนร่วมสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้ใช้ดิจิทัลแบงก์กิ้ง และคิดค้นวิธีการให้ผู้บริโภคทำธุรกรรมทางการเงินได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ในทุกๆ ที่และทุกเวลา”
 


จากการศึกษาพบว่ากิจกรรมที่ผู้บริโภคสนใจเกี่ยวกับเวอร์ชวลแบงก์มากที่สุด คือ พวกเขาสามารถฝากและถอนเงินได้ (72%) การโอนเงินให้กับครอบครัวและเพื่อน (67%) และการชำระค่าสาธารณูปโภคต่างๆ  (64%)
 
แม้จะมีข้อดีมากมายอย่างการใช้บริการได้ตลอดเวลาและมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า กระนั้นผู้ตอบแบบสอบถาม มากกว่าสามในห้า (65%) ระบุว่าจะเลือกใช้บริการธนาคารทั่วไปเป็นบัญชีหลักมากกว่า เนื่องจากการบริการที่ดี ประสบการณ์การใช้บริการ และความน่าเชื่อถือที่ธนาคารเหล่านี้มอบให้กับลูกค้า
 
เมื่อพิจารณาด้านพฤติกรรมการใช้จ่ายแบบไร้เงินสด มากกว่าครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม (55%) กล่าวว่าพวกเขาถือเงินสดน้อยลง ซึ่งเหตุผลสามอันดับแรก ได้แก่ การใช้ระบบชำระเงินแบบไร้สัมผัส หรือคอนแทคเลสที่เพิ่มสูงขึ้น (59%) สามารถเข้าถึงบริการเบิกถอนเงินสดได้สะดวก (47%) และมองว่าการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยในแง่สุขอนามัยมากกว่า (45%)
 
นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ (71%) เชื่อว่าประเทศไทยสามารถเป็นสังคมไร้เงินสดได้ภายในปี 2573 โดยหมวดการใช้จ่ายอันดับแรกๆ ที่จะเป็นแบบไร้เงินสดเต็มรูปแบบคือ การชำระค่าสาธารณูปโภคและบริการต่างๆ  (53%) การชำระเงินที่ร้านสะดวกซื้อ (53%) และการชำระเงินในซูเปอร์มาร์เก็ต (49%)
 
การชำระเงินแบบไร้สัมผัส หรือคอนแทคเลส กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในประเทศไทย โดยจากผลสำรวจพบว่ามากกว่าเก้าในสิบ (92%) ของผู้บริโภคชาวไทยสนใจที่จะใช้จ่ายด้วยวิธีนี้  ปัจจุบันนี้ระบบขนส่งมวลชนหลายรูปแบบในกรุงเทพฯ รับชำระค่าโดยสารผ่านบัตรเครดิตแบบแตะเพื่อจ่าย และประมาณหนึ่งในสามของชาวไทย (32%) ชำระค่าโดยสารด้วยวิธีนี้
 
“ด้วยความแพร่หลายของเทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านการชำระเงิน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราร่วมงานกับลูกค้าของเราเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมการชำระเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และผู้ประกอบการ  เราหวังว่าผลการศึกษานี้จะช่วยให้ภาคธุรกิจ  รวมทั้งอุตสาหกรรมการชำระเงินในประเทศไทยสามารถปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ที่เปลี่ยน และสร้างโอกาสที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น รวมทั้งสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นประเทศที่เป็นดิจิทัลยิ่งขึ้น” ซีรีน กล่าวสรุป