“SENA” ผู้นำพัฒนาบ้านโซลาร์ฯ รับตลาดโซลาร์ฯ ปี 2566 เติบโตแบบก้าวกระโดด หลังประชาชนแห่ติดตั้งรับมือบิลค่าไฟพุ่ง เตรียมเปิดตัว “บ้านพลังงานเป็นศูนย์” หรือ Zero Energy House (ZEH) นำร่องไตรมาส 3 ปีนี้ เดินหน้าสู่พลังงานสะอาดแบบเต็มขั้นเพื่อความยั่งยืน หวังรัฐบาลใหม่ดูแลอัตราดอกเบี้ย หลังมีทิศทางขาขึ้นต่อเนื่องกระทบตลาดอสังหาฯ ปี’66 ไม่สดใสเท่าที่ควร
ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)หรือ SENA เปิดเผยว่า ปี 2566 การติดตั้งแผงผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาหรือ โซลาร์รูฟท็อป กลับมาได้รับความสนใจมากขึ้นอีกครั้ง และมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด ประกอบกับอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเดือน พ.ค.-ส.ค. 66 อยู่ประมาณ 4.70 บาท/หน่วย ซึ่งถือว่าสูงขึ้นเมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา ทำให้ค่าไฟเป็นภาระรายจ่ายที่ประชาชนต้องแบกรับสูง ขณะเดียวกันประชาชนทั่วไปเข้าถึงการติดตั้งโซลาร์รูฟฯ ได้มากขึ้น จากอดีตที่จับต้องยากเพราะมีราคาแพง
“แม้ว่าผู้ใช้ไฟจะอยู่ในกลุ่มภาคครัวเรือนแต่ก็มีความแตกต่างกัน ยิ่งบ้านที่มีขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์การใช้ไฟมากก็จะต้องเสียมากตามขั้นบันได ทำให้หลายคนเริ่มคิดถึงการติดตั้งโซลาร์รูฟฯ ซึ่งในอดีตแพงมาก หลายคนถอดใจแต่ทุกวันนี้ต้นทุนการผลิตลดลงทำให้ตลาดโซลาร์รูฟเริ่มกลับมาเติบโตอีกครั้ง และการติดตั้งใช้เวลา 7-10 ปีก็คุ้มทุนแล้ว ส่วนระยะเวลาการรับประกันก็ยาวนานมากถึง 25 ปี นอกจากนี้ภาครัฐยังมีโครงการโซลาร์ภาคประชาชนรับซื้อไฟจากบ้านที่ติดโซลาร์รูฟท็อปแล้วเหลือใช้ขายคืนสู่ระบบในอัตรา 2.20 บาทต่อหน่วยอีกด้วย” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว
ปัจจุบันการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปได้รับความสนใจจากทั้งภาคครัวเรือน หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน โดยเฉพาะส่วนของโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ๆ ต่างหันมาพัฒนาบ้านที่ติดโซลาร์ฯ ให้กับผู้บริโภค ซึ่งเสนาเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ เป็นรายแรกและรายเดียวของไทยที่ติดโซลาร์ให้กับบ้านทุกหลังและพื้นที่ส่วนกลางของคอนโดมิเนียม จนถึงขณะนี้นับเป็นเวลา 13 ปี รวมติดตั้งทั้งสิ้น 47 โครงการกว่า 1,000 ครัวเรือน คิดเป็นการผลิตไฟฟ้ามากกว่า 100 เมกะวัตต์
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เสนาจะทำต่อไปไม่ใช่แค่ติดโซลาร์ฯ อย่างเดียว แต่มีเป้าหมายการประหยัดพลังงานที่บ้านทั้งหลังโดยใช้องค์ความรู้หรือ know How มาสู่แนวคิด “บ้านพลังงานเป็นศูนย์” หรือ Zero Energy House (ZEH) ซึ่ง Know How มาจากพันธมิตรทางธุรกิจ บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป มาปรับใช้กับโครงการบ้านเสนา โดยเริ่มจากวิธีคิดว่าจะดีไซน์อย่างไรให้บ้านใช้ไฟลดลง ทำอย่างไรให้ภายในบ้านมีประสิทธิภาพการใช้ไฟดีขึ้น โดยเลือกวัสดุที่เหมาะสมและใช้ผลิตภัณฑ์จากพลังงานสะอาดที่ลดการพึ่งพิงไฟรัฐให้น้อยที่สุด เพื่อรองรับกลไกตลาดในปัจจุบันและอนาคตที่ผู้บริโภคจะเลือกที่อยู่อาศัยรับกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง ทั้งทำงานที่บ้าน (Work From Home) หรือที่พักอาศัยที่มีกลุ่มผู้สูงอายุและเด็กอยู่ในบ้านตลอดเวลาซึ่งจะเริ่มใช้กับโครงการบ้านเดี่ยวย่านรามอินทรา กม.9 และบางนา-กม.29 คาดว่าจะเปิดตัวต้นไตรมาส 3 ปีนี้
ทั้งนี้ เสนาได้ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิจัยพัฒนาแนวทางการลดพลังงานภายในที่อยู่อาศัย ให้เป็นตาม แนวทาง ZEH โดยแบ่งผู้ที่ใช้ไฟฟ้าออกเป็น 3 กลุ่มคือ 1.กลุ่มที่ใช้ไฟฟ้าสูง โดยบ้านพลังงานเป็นศูนย์ที่ติดโซลาร์ สามารถลดค่าไฟฟ้าได้ 55% เมื่อเทียบบ้านทั่วไป 2.กลุ่มที่ใช้ไฟปานกลาง บ้านพลังงานเป็นศูนย์ที่ติดโซลาร์ สามารถลดค่าไฟฟ้าได้ 70%
3.กลุ่มที่ใช้ไฟน้อย บ้านพลังงานเป็นศูนย์ที่ติดโซลาร์ สามารถลดค่าไฟฟ้าได้ 90%
“บ้านพลังงานเป็นศูนย์ จะมี Step การคิดว่าลดพลังงานได้กี่เปอร์เซ็นต์ ณ ตอนนี้เราทำในจุดที่ไม่เพิ่มราคาบ้าน ยอมรับว่าการใส่ตรงนี้เข้ามาโดยไม่มีภาครัฐเข้ามาช่วย จึงต้องทำให้วินทั้ง 3 ฝ่าย ทั้งผู้บริโภคต้องซื้อบ้านหลังนี้โดยที่ไม่รู้สึกว่าแพงเกินไป แต่รู้สึกว่าได้มูลค่าเพิ่มและเอกชนก็ต้องได้และเป็นเรื่องที่ดีกับโลก การที่ใช้ไฟลดลงโดยเฉพาะการใช้ไฟที่มาจากการซื้อจากรัฐซึ่งไฟที่ซื้อจากการไฟฟ้าไม่ใช่พลังงานสะอาด 100% เป็นไฟที่มาจากฟอสซิล ถ้าลดปริมาณการใช้ไฟจากรัฐและใช้พลังงานสะอาดเข้ามาเสริมก็ถือว่าเราช่วยโลกมากขึ้น” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว
สำหรับรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศนั้น สิ่งที่คาดหวังคือต้องการให้ดูแลอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงมีทิศทางเป็นขาขึ้นตามทิศทางตลาดโลก นับเป็นปัจจัยลบต่อภาคอสังหาฯ เพราะทำให้กำลังซื้อผู้บริโภคยิ่งลดลงท่ามกลางหนี้ครัวเรือนของไทยยังอยู่ในเกณฑ์สูง ส่งผลให้ผู้บริโภคขอสินเชื่อยากขึ้น ยอดปฏิเสธสินเชื่อจึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นตลาดอสังหาฯ ปี 2566 แนวโน้มจึงไม่สดใสนัก ดังนั้นเสนาจึงได้เปิดธุรกิจใหม่ในเครือภายใต้ชื่อ “เงินสดใจดี” เป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนที่ต้องการมีบ้านเป็นของตัวเองแต่ขาดสภาพคล่องทางการเงิน หรือติดปัญหาต่างๆ มาใช้บริการทางเลือกได้ คือ
1.บริการสินเชื่อเช่าซื้อ เพื่อสามารถเข้าอยู่ในบ้าน/คอนโดฯ ได้ทันที จากนั้นทยอยผ่อนชำระเงินกู้ซึ่งจะหักเงินต้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงจุดที่เงินต้นลดมาอยู่ในระดับที่ลูกค้าน่าจะสามารถกู้สินเชื่อบ้านได้ จะมีการส่งต่อลูกค้าให้กู้สินเชื่อบ้านจากธนาคาร 2.สินเชื่อเพื่อชำระค่าทำสัญญา 3.สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อลดภาระดอกเบี้ย นอกจากนี้ เสนา ได้เตรียมจัดแคมเปญพิเศษสำหรับแบรนด์เสนาคิทท์ 12 โครงการนำร่อง ราคาเริ่มต้นไม่ถึงล้านบาท
“กลยุทธ์ปีนี้เน้นเจาะกลุ่มลูกค้า ‘เรียลดีมานด์’ ที่พักอาศัยในต่างจังหวัดและเขตพื้นที่เขตพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC มองว่าเขต EEC และเมืองรองที่มีศักยภาพเติบโตสูง อาทิ จังหวัดชลบุรี สระบุรี (เขาใหญ่) ลพบุรี และอุดรธานี หากรัฐมี
การส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น และขยายลงทุนด้านสาธารณูปโภคการคมนาคมจะทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายประชากรที่ผ่านมาทางบริษัทเองมีโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการและพัฒนาอยู่แล้ว เช่น โครงการบ้านเดี่ยว สนามกอล์ฟ คลังสินค้า (Warehouse) มองว่าโซนตะวันออกเป็นทำเลที่มีศักยภาพและแนวโน้มการเติบโตที่ดี” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว