• SCB EIC เผยมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยเดือน ส.ค. 2024 ขยายตัวดีต่อเนื่องที่ 7% ทำให้ประเมินมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยจะสามารถขยายตัวของมูลค่าการส่งออกไทยที่ 2.6% และ 2.8% ในปี 2024 และ 2025 ยังถือว่าไม่สูงนักเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2010-2019 ที่ 5.3% --- ปัจจัยการส่งออกของไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ในระยะถัดไปจากเศรษฐกิจโลกที่ยังขยายตัวได้ในภาพรวม แม้จะชะลอตัวลงบ้างในหลายประเทศ รวมถึงวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น และแรงกดดันด้านค่าระวางเรือที่เริ่มลดลง ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกในปี 2024 อาจขยายตัวได้มากกว่าประมาณการเดิมที่ 2.6% แต่ต้องจับตาผลกระทบเพิ่มเติมจากปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของไทย การแข็งค่าของเงินบาท และการยกเลิกมาตรการควบคุมการส่งออกข้าวของอินเดีย
Home “ยูโร ครีเอชั่นส์”ประกาศความพร้อมเข้าเทรดในตลาด mai 14 ก.พ.นี้  
“ยูโร ครีเอชั่นส์”ประกาศความพร้อมเข้าเทรดในตลาด mai 14 ก.พ.นี้  

“ยูโร ครีเอชั่นส์”ประกาศความพร้อมเข้าเทรดในตลาด mai 14 ก.พ.นี้  

โชว์ผลตอบรับขายหุ้น IPO ได้รับความสนใจเป็นอย่างดี นักลงทุนสถาบันจองซื้อคิดเป็นสัดส่วน 19% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายทั้งหมด
   
บมจ. ยูโร ครีเอชั่นส์ พร้อมนำหุ้นเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ โชว์ผลตอบรับจากการเสนอขายหุ้น IPO ได้รับความสนใจจากทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยเป็นอย่างดี โดยนักลงทุนสถาบันจองซื้อคิดเป็นสัดส่วน 19% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายทั้งหมด ตอกย้ำศักยภาพบริษัทฯ ที่เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญธุรกิจ “Luxurious & High Quality Living” เจาะตลาดลักชัวรี่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง มุ่งนำเสนอเฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่ง และอุปกรณ์ฟิตเนสระดับไฮเอนด์นำเข้าจากต่างประเทศพร้อมบริการแบบครบวงจร วางแผนรุกเพิ่มแบรนด์สินค้า และอยู่ระหว่างก่อสร้างโชว์รูมใหม่อีก 3 แห่งในย่านทองหล่อซอย 1 ทองหล่อซอย 5 และภูเก็ต เพื่อขยายตลาดและฐานลูกค้าระดับพรีเมียม พร้อมให้ความมั่นใจผู้ถือหุ้นเดิมอยู่ครบ

นายเควิน กัมบีร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 โดยใช้ชื่อย่อ “EURO” หลังจากเสนอขายหุ้น IPO แก่นักลงทุนเมื่อวันที่ 31 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ เป็นผู้เชี่ยวชาญธุรกิจ “Luxurious & High Quality Living” ดำเนินธุรกิจเป็นตัวแทนนำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าระดับลักชัวรี่อย่างเป็นทางการในประเทศไทย รวม 29 แบรนด์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่ง และอุปกรณ์ฟิตเนส แบรนด์ชั้นนำระดับลักชัวรี่จากต่างประเทศ เช่น แบรนด์ Gessi, Molteni & C, Cassina, Giorgetti, Natuzzi Italia, Frette, Technogym เป็นต้น พร้อมบริการอย่างครบวงจรแบบวันสต็อปโซลูชั่น รวมถึงได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายครอบคลุมทุกพื้นที่ของการใช้ชีวิต เช่น ผลิตภัณฑ์สำหรับห้องน้ำ, วัสดุปูพื้น, โคมไฟและอุปกรณ์ควบคุมอัจฉริยะ เป็นต้น ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์จากยุโรปโดยเฉพาะประเทศอิตาลี ซึ่งมีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้า B2B และ B2C ที่เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และลูกค้ารายย่อยระดับลักชัวรี่ได้อย่างครอบคลุม
    

       
บริษัทฯ วางแผนขยายธุรกิจโดยจะเพิ่มแบรนด์สินค้านำเข้าระดับลักชัวรี่และระดับไฮเอนด์ เพื่อเพิ่มทางเลือกและตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงอยู่ระหว่างการออกแบบและก่อสร้างโชว์รูมใหม่อีก 3 แห่งในย่านทองหล่อและจังหวัดภูเก็ต เพื่อขยายตลาดและฐานลูกค้า ได้แก่ 1) โชว์รูม Euro Creations Flagship Gallery at Phuket เพื่อขยายตลาดสู่เมืองท่องเที่ยว คาดว่าจะเปิดบริการภายในไตรมาส 1 ปี 2567 ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ 2) โชว์รูม Euro Creations Gallery at Thonglor Soi 5 คาดว่าจะเปิดบริการไตรมาส 2 ปี 2567 และ 3) โชว์รูม Euro Creations Gallery at Thonglor Soi 1 คาดว่าจะเปิดบริการไตรมาส 4 ปี 2569 จะรองรับการขยายฐานลูกค้าจากระดับลักชัวรี่สู่ระดับพรีเมียม จากปัจจุบันมีโชว์รูม 5 แห่ง ได้แก่ Euro Creations Flagship Gallery at Thonglor, Natuzzi Italia at Siam Paragon, Euro Creations Gallery at Crystal Design Center, Technogym Flagship Showroom at Ekamai และ Technogym Showroom at Central Embassy

ขณะเดียวกันจะมุ่งสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องภายใต้แผนงานที่วางไว้ ได้แก่ 1) การนำเสนอแบรนด์สินค้าระดับลักชัวรี่เพื่อตอบสนองความต้องการและสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า รวมถึงสร้างความยั่งยืนแก่บริษัทฯ ด้วยการเป็นตัวแทนจำหน่ายแก่แบรนด์สินค้าต่างๆ เพียงผู้เดียวในประเทศไทย 2) มุ่งเน้นบริหารจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำข้อมูลเชิงลึกจากระบบ SAP B1 ผสานกับประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญและข้อมูลในอดีต มาวิเคราะห์และคาดการณ์ปริมาณสินค้าที่ต้องสั่งซื้อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด 3) ลงทุนด้านการพัฒนาบุคลากร โดยจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมพนักงานใหม่ด้วยตนเองทางออนไลน์ก่อนปฏิบัติงานจริง รวมถึงการเพิ่มทักษะและความรู้แก่พนักงานและผู้บริหารอย่างต่อเนื่อง และ 4) ลงทุนและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน เช่น การพัฒนารูปแบบจัดเก็บฐานข้อมูลใน Cloud Database เป็นต้น นอกจากนี้ได้วางกลยุทธ์เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและขยายตลาดใหม่จากผลิตภัณฑ์ในปัจจุบัน เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่เจาะกลุ่มลูกค้าปัจจุบันและขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ รวมถึงมองโอกาสร่วมทุนหรือเข้าซื้อกิจการ

ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานบริษัทฯ ปี 2563 – 2565 เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากการขายและบริการ 776.59 ล้านบาท 829.49 ล้านบาท และ 1,047.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.81% และ 26.33% ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 105.49 ล้านบาท 121.66 ล้านบาท และ 135.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.33% และ 11.71% ตามลำดับ ส่วนงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้จากการขายและบริการ 958.2 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 138.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% และ 44.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ โดยสัดส่วนรายได้มาจากลูกค้ารายย่อย (B2C) ประมาณ 70% และลูกค้าโครงการ (B2B) ประมาณ 30%

 


นายดิถดนัย สังขะรมย์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO ที่ผ่านมาของ บมจ.ยูโร ครีเอชั่นส์ จำนวนทั้งสิ้น 78 ล้านหุ้น ที่ราคาเสนอขายหุ้นละ 10.60 บาท ซึ่งกำหนดจากการสำรวจความต้องการของนักลงทุนสถาบัน (Book Building) มีผลตอบรับที่ดีมาก โดยในการเสนอขายดังกล่าวมีนักลงทุนสถาบันจองซื้อมากกว่าจำนวนหุุ้นที่จัดสรรไว้ หรือมียอดจองซื้อคิดเป็นสัดส่วนถึง 19% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายทั้งหมด เนื่องจากมั่นใจศักยภาพบริษัทฯ และกลยุทธ์การเติบโตที่ชัดเจน โดย บมจ. ยูโร ครีเอชั่นส์ วางแผนนำเงินจากการเสนอขายหุ้น IPO ไปใช้ตามวัตถุประสงค์ ได้แก่ 1) ลงทุนก่อสร้างโชว์รูมใหม่ 3 แห่ง ได้แก่ โชว์รูมทองหล่อ ซอย 1, ทองหล่อ ซอย 5 และภูเก็ต 2) ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อการก่อสร้างโชว์รูมใหม่ 3 แห่ง และคืนเงินกู้ยืมระยะสั้นสำหรับเงินทุนหมุนเวียนกิจการ และ 3) เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการและการขยายธุรกิจ นอกจากนี้ กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมทั้งหมดของ บมจ. ยูโร ครีเอชั่นส์ ได้สมัครใจทำข้อตกลงไม่จำหน่ายหุ้นส่วนที่เหลือจากการติด Silence Period ตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มเติมในช่วงระยะเวลา 12 เดือนนับจากวันที่หุ้นของบริษัทฯ เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เป็นวันแรก เพื่อให้ความมั่นใจแก่นักลงทุน