• SCB EIC ประเมินว่าการส่งออกสินค้าเดือน มี.ค. 2024 ในรูป %YOY มีแนวโน้มหดตัวแรงจากปัจจัยฐานสูง แม้ภาคการผลิตและการค้าโลกจะอยู่ในทิศทางการฟื้นตัว เนื่องจากมีการส่งออกทองคำในเดือน มี.ค. 2023 มากถึง 1,568.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าปกติมาก ข้อมูลจากการแถลงข่าวของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่ามูลค่าการส่งออกในเดือน มี.ค. 2024 จะอยู่ที่ราว 25,500 – 26,500 หดตัวประมาณ -5.4% ถึง -8.9%  *** ด้าน Krungthai COMPASS เผยส่งออกเดือน ก.พ. ขยายตัว 3.6%YoY เติบโตติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 แต่ชะลอลงจาก 10.0%YoY เมื่อเดือนก่อน ประเมินว่าการส่งออกยังฟื้นตัวได้ไม่ทั่วถึง ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันต่อการส่งออกในปี 2567 ให้ขยายตัวได้เล็กน้อยที่ 1.8% โดยการส่งออกไม่รวมทองคำเดือน ก.พ. ขยายตัวที่ 1.2% จากสินค้าสำคัญหลายรายการที่ยังหดตัวต่อเนื่อง เช่น ยานพาหนะ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเคมีภัณฑ์ นอกจากนี้ แนวโน้มการส่งออกไปยังประเทศสำคัญมีความไม่นอนสูงโดยเฉพาะยุโรป และญี่ปุ่น
Home ทิสโก้ชี้ Fed ประชุมคืนนี้หนุนราคาหุ้นถูกจังหวะซื้อกลุ่ม'เมตาเวิร์ส'
ทิสโก้ชี้ Fed ประชุมคืนนี้หนุนราคาหุ้นถูกจังหวะซื้อกลุ่ม'เมตาเวิร์ส'

ทิสโก้ชี้ Fed ประชุมคืนนี้หนุนราคาหุ้นถูกจังหวะซื้อกลุ่ม'เมตาเวิร์ส'

26 ม.ค. 65 - ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้คาดธนาคารกลางสหรัฐฯ ประชุมคืนวันที่ 26 - 27 ม.ค. ยังคงส่งสัญญาณเดินหน้านโยบายการเงินเข้มงวด ฉุดราคาหุ้นสหรัฐฯ ลงมาถูกเหมือนปี 61 ชี้เป็นจังหวะช้อนซื้อหุ้นกลุ่มเมตาเวิร์สเข้าพอร์ต รับหลากปัจจัยบวกในอนาคต

 

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง เพราะกังวลเรื่องธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และเดินหน้านโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น การปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่องทำให้ปัจจุบันราคาหุ้น (Valuation) เริ่มน่าสนใจที่จะเริ่มพิจารณาเข้าซื้อหุ้นอีกครั้ง

 

และถึงแม้ว่า Fed จะยังไม่ประกาศเดินหน้านโยบายการเงินที่เข้มงวดอย่างเป็นทางการ แต่ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้คาดว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี และราคาหุ้นน่าจะรับรู้ข่าวดังกล่าวไปค่อนข้างมากแล้ว โดยคาดว่าอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า (Forward P/E) ของ S&P 500 มีโอกาสปรับลงจากปัจจุบันได้เพียง 2-5% เท่านั้น เพราะปัจจัยกดดันราคาหุ้นอย่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นมาจากราว 1.4% ในเดือนธันวาคม มาอยู่ที่ 1.8% ในปัจจุบันนั้นได้สะท้อนแนวโน้มนโยบายที่เข้มงวดไปมากแล้วและมีโอกาสปรับขึ้นได้อย่างจำกัด ขณะที่ตลาดซื้อขายล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสะท้อนเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยไปจนถึงระดับ 2% แล้ว

 

“หากในการประชุม Fed ที่จะมีขึ้นในคืนวันที่ 26 - 27 มกราคมนี้ ส่งสัญญาณถึงนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ประเมินว่าดัชนี S&P 500 จะปรับลดลงมาซื้อขายด้วยอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า (Forward P/E) ที่ 18.5 - 19 เท่า ซึ่งต่ำกว่าระดับปัจจุบันเพียง 2 - 5% เท่านั้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Bond Yield) อาจปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2.0-2.1% ดังนั้น ปัจจุบัน Valuation ของตลาดหุ้นถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจแล้ว โดยส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 ลบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (Earning Yield Gap) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.4% ใกล้เคียงกับกรอบบนในช่วงปี 2561 ที่ Fed เดินหน้าลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening หรือ QT)” นายคมศรกล่าว

 

สำหรับคาดการณ์ผลการประชุม Fed ที่จะมีขึ้นในคืนวันที่ 26-27 มกราคม 2565 ตามเวลาประเทศไทยนั้น นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า Fed จะส่งสัญญาณ 3 ประเด็นคือ 1. Fed อาจส่งสัญญาณถึงการขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น เป็น 4 ครั้งในปีนี้ 2. Fed จะประกาศยืนยันยุติมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงิน (QE) ในเดือนมีนาคมนี้ และ 3. Fed อาจระบุถึงแนวทางในการลดขนาดงบดุลเพิ่มเติม ทั้งนี้ หาก Fed ส่งสัญญาณถึงนโยบายการเงินที่จะเข้มงวดขึ้นเร็วกว่านี้ เช่น ขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.50% (50bps) จากปกติที่ 0.25% (25bps) หรือประกาศยุติการทำ QE ในการประชุมนี้เลย ตามที่ตลาดเริ่มมีการพูดถึง ก็อาจทำให้ตลาดหุ้นปรับฐานลงอีก แต่จะไม่มากนักเมื่อเทียบกับระดับราคาในปัจจุบัน

 

 

ด้านนายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนะนำให้นักลงทุนอาศัยจังหวะที่ Fed ส่งสัญญาณเดินหน้านโยบายการเงินที่เข้มงวด ทยอยเข้าซื้อหุ้นธีมเมตาเวิร์ส (Metaverse) โดยปัจจุบันหุ้นธีมเมตาเวิร์สได้ปรับลดลงจากจุดสูงสุดในเดือนพฤศจิกายน 2564 ประมาณ 25-30% ทำให้มีโอกาสสร้างกำไรจากการเพิ่มขึ้นของ Upside โดยนักวิเคราะห์จากบลูมเบิร์ก (Bloomberg consensus) ประเมินว่ามูลค่าตลาดของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเมตาเวิร์สจะพุ่งสูงขึ้นจาก 1.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2564 ไปแตะ 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2567 หรือคิดเป็นการเติบโตกว่า 3.4 เท่าภายในระยะเวลา 4 ปี

 

นอกจากนี้ หุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มนี้หลายบริษัทซื้อขายอยู่ในดัชนี S&P 500 เช่น Apple, Microsoft NVIDIA และ Meta (Facebook) ซึ่งหุ้นกลุ่มเมตาเวิร์สนี้นับเป็น New S-curve ที่สำคัญในการสร้างรายได้ในอนาคตให้บริษัทเติบโตในยุคดิจิทัลที่กำลังจะเกิดขึ้นในสังคมตามภาพของเมกะเทรนด์ (Megatrend) ของโลก